Site icon เว็บสอนถ่ายภาพ สอนถ่ายวิดีโอ และผลิตคอนเทนต์ ที่เข้าใจมือใหม่มากที่สุด

เที่ยวเปรู 10 ที่เที่ยวผจญภัยที่เปรู เยือนถิ่นชมวีถีชาวอินคา

10 ที่เที่ยวผจญภัยที่เปรู

เที่ยวเปรู 10 ที่เที่ยวผจญภัยที่เปรู เยือนถิ่นชมวีถีชาวอินคา ประเทศเปรู (คนไทยไปได้ โดยไม่ต้องมีวีซ่านะ) อยู่ทวีปอเมริกาใต้ ผู้คนที่นี่ใช้ภาษาสเปนในการสื่อสาร สกุลเงิน Nuevo sol / Soles โดย 1 โซล เท่ากับ สิบบาท โดยประมาณ

มีเมืองลิมา (Lima) เป็นเมืองหลวงของประเทศ และเป็นจุดที่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปเมืองอื่นๆได้อีก ถือได้ว่าเป็นเมืองศูนย์กลางการบินและการคมนาคมของทวีปนี้อีกจุดหนึ่งเลย

การเดินทางที่ประเทศเปรู อาจจะไม่สะดวกสบายมากนัก จึงค่อนข้างต้องวางแผนการเดินทางอย่างดี ซึ่งทางโรงแรมหรือที่พัก สามารถเป็นผู้ช่วยหลักในการติดต่อให้ข้อมูลการเดินทางได้ดีที่สุดในเวลานั้นเลยที่เดียว

ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่มีจุดมุ่งหมายที่ประเทศนี้ ด้วยความที่มีเสน่ห์ดึงดูดหลายอย่าง เช่น ความสวยงามตามธรรมชาติ ที่ถูกสรรสร้างและตกแต่งมาอย่างยอดเยี่ยม เช่นภูเขาสีรุ้ง สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเช่น มาชูปิชู ที่ต้องยอมรับความสามารถของชาวอินคา ที่ยังคงสร้างความประหลาดใจไม่น้อยให้แก่ผู้พบเห็นที่เห็นการสร้างเมืองที่สวยงาม เป็นระเบียบ และซับซ้อน ขึ้นมาบนภูเขาสูง

การท่องเที่ยวในเปรู อาจจะต้องระวังเรื่อง High altitude sickness เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ อยู่ที่ระดับความสูง 2,000-5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเดินทาง การท่องเที่ยวในแถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอน เช่นเมือง Iquitos จะไม่พบปัญหาเรื่องนี้ แต่ต้องมีการเตรียมตัวป้องกันโรคมาลาเรีย โรคไข้ป่าต่างๆด้วย

ช่วงที่เหมาะสมในการเดินทางมาเที่ยวที่นี่โดยมีฝนเข้ามารบกวนน้อยคือช่วง อยู่ที่ช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ลองมาดูกันว่า เปรูมีเมืองไหน ที่ต้องตามไปเชคอินบ้าง

เที่ยวเปรู 10 ที่เที่ยวผจญภัยที่เปรู เยือนถิ่นชมวีถีชาวอินคา

1. ลิมา (Lima)

ลิมา เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเปรู เป็นศูนย์กลางการขนส่ง การเงิน อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมของประเทศ ตั้งอยู่บริเวณที่ห้อมล้อมด้วยหุบเขาชียอง แม่น้ำรีมัก และแม่น้ำลูริง ริมชายฝั่งอยู่ติดกับอ่าวในมหาสมุทรแปซิฟิก มีอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาใต้ ประวัติศาสตร์ของกรุงลิมามีขึ้นก่อนสมัยล่าอาณานิคม

มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเช่น โบสถ์และคฤหาสน์ที่มีขนาดใหญ่ และพบว่าความทันสมัยไม่ได้เปลี่ยนศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ไปเลย ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ที่มีผลงานศิลปะโบราณ มีชายหาดยาวริมทะเล มีหุบเขา และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ

ในยามค่ำคืนก็มีความคึกคักตื่นเต้นในตัวเมือง ทั้งกีฬาทางน้ำและการผจญภัยที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ ก็หาประสบการณ์เหล่านี้ได้ในเมือง และต้องลองอาหารท้องถิ่นเลิศรส เช่น ceviche คือปลาดิบสดที่หมักไว้ในน้ำส้มและปรุงรสด้วยพริกขี้หนูและบางครั้งก็มีเครื่องปรุงรสอื่นๆอีกที่ทำให้มีความหลากรส และลงตัวเอามากๆ ทำให้เมืองหลวงของเปรูมีเอกลักษณ์และทำให้การท่องเที่ยวในกรุงลิมาเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ

2. แมนโครา (Mancora)

หมู่บ้านริมทะเลอันเงียบสงบแห่งนี้ สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี  à¸„วามสวยงามของที่นี่ ไม่ว่าจะทะเล และท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ฟองคลื่นสีขาวที่นุ่มละมุน และชายหาดที่ทอดตัวยาวริมฝั่ง ทำให้ใครหลายคนตกหลุมรักที่นี่เข้าอย่างจัง

และการที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะจนเกินไป จนทำให้เสียบรรยากาศ ที่นี่จึงเป็นหาดในฝันของใครหลายๆคน มีที่พักริมหาดที่อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน นั่งริมทะเลมองดวงอาทิตย์ตกดิน เปลี่ยนทะเล ท้องฟ้า ที่สดใส เป็นสีทะเลสีส้ม และท้องฟ้าที่ดูเหมือนโดนเผาด้วยไฟจากดวงอาทิตย์ สร้างบรรยากาศการพักผ่อนที่น่าประทับใจทีเดียว

3. ทะเลทรายนัซกา (Nazca Desert)

ปริศนาลายเส้นโบราณ Nazca ที่นี่ ถูกกล่าวขานกันมาอย่างยาวนาน ด้วยการวาดลายเล้นขนาดใหญ่คือลายเส้นนาซกา หรือ Nazca line บนพื้นที่ที่กว้างกว่า 80 กิโลเมตร และมีจำนวนหลายร้อยภาพด้วยกัน โดยภาพที่ใหญ่ที่สุด มีขนาดกว่า 200 เมตร ซึ่งแต่ละภาพมีความซับซ้อน โดยมีลักษณะของ ลวดลายเลขาคณิต คน รูปสัตว์ต่างๆ โดยมีอายุกว่าสองพันปี

ภาพวาดที่ถูกวาดขึ้นนั้น เรียกว่า จีโอกลิฟ (Geoglyphs) สันนิษฐานว่า ชาวอินคา ได้สร้างขึ้นจากการ วัด คำนวณ และวาดออกมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมโบราณ เพื่อขอฝน ขอความชุ่มชื้นจากเทพเจ้า ทว่า ความแห้งแล้งยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนอพยพย้ายถิ่นฐาน แต่ความแห้งแล้งนั้นทำให้ภาพวาดที่ถูกวาดขึ้น ยังคงหลงเหลือให้คนรุ่นเราๆเห็นได้อย่างชัดเจน

ที่แน่ๆ ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อว่า ไม่ได้ถูกสร้างโดยฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอนแต่เป็นหลักฐานของมนูษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกต่างหาก ซึ่งก็ยังคงเป็นที่ถกเถียง และหาข้อพิสูจน์จากหลักฐานกันต่อไป ซึ่งถ้าเราไม่เห็นด้วยตาตัวเอง คงนึกภาพไม่ออก ต้องไปดูซักครั้งให้แน่ใจ จริงมั๊ยล่ะ

4. ปูโน (Puno)

Puno เป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ Titicaca ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความสูงประมาณ 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล การมาเที่ยวที่ปูโน ต้องมาลองใช้ชีวิต ตามวิถีของชาวพื้นเมืองที่นี่ โยการพักค้างคืนที่เกาะ Amantani พายเรือ คยักในทะเลสาบ

เที่ยวชมวิถีชาวบ้านที่เกาะ Uros ซึ่งเป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้น โดยเมื่อเข้าไปที่เกาะ ก็จะมีการสาธิตวิธีการสร้างเกาะจากพืชท้องถิ่นชื่อ totora ที่มีลักษณะคล้ายหญ้า ที่นี่มีเรือโบราณหน้าตาแปลกๆ  à¸„ล้ายๆกล้วยหอมทำจาก totora เช่นกันให้เราลองพาย หรือนักท่องเที่ยวจะเลือกนั่งชมวิวโดยนั่งโดยสารเรือชนิดนี้ก็ได้

รวมทั้งการลองชิมอาหารพื้นเมืองของที่นี่ ก็น่าสนใจไม่น้อย ปิดท้ายด้วยการซื้อของฝากจากที่นี่เพื่อไปฝากคนที่ไม่ได้มายังไงล่ะ

รวมบทความเกี่ยวกับการเลือกใช้มุมมองที่หลากหลายในการถ่ายภาพสำหรับมือใหม่

5. ตรูฮีโย(Trujillo)

เมืองนี้ถือว่าเป็น modern city อีกเมืองหนึ่งของเปรูก็ว่าได้ รองจากเมืองลิมา เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยเมืองนี้เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภาคเหนือของประเทศเปรู โดยตรูฮีโยได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2578 เดิมทีเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ใช้เป็นจุดพักพิงสำหรับชาวสเปนที่เดินทางจากลิมาไปยังกีโต

ตรูฮีโยเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ มักเรียกกันว่า “Lordliest City” มีแหล่งโบราณคดี แหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ เช่นที่  Chan Chan หรือ  Trujillo Cathedral และ Huacas del Sol y la Luna (Temple of Moche) เป็นสถาปัตยกรรมยุคโบราณที่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ สวยงาม จึงเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ให้มาที่นี่เพื่อเยี่ยมชมแหล่งสถาปัตยกรรมโบราณที่สง่างาม  

ที่น่าสนใจอีกที่หนึ่งคือ Huanchaco เป็นที่ที่มีการเล่นกระดานโต้คลื่น Caballito de Totora หรือเรืออ้อ ที่ถูกสร้างขึ้นจากต้น Totora ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่น นั่งริมทะเลเพื่อชื่นชมความสวยงามของทะเล ชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกในขณะที่ กำลังชิม ceviche ที่ดีที่สุดในประเทศ ซึ่งเป็นวันพักผ่อนที่แสนวิเศษอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว

6. กีโตส (Iquitos)

Iquitos อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเปรู ไม่ไกลจากชายแดนที่ติดต่อกับ เอกวาดอร์ โคลัมเบียและบราซิล แม้ว่า Iquitos จะอยู่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของเปรู แต่ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศได้ดี ท่าเรือของเมืองนี้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้และเป็นจุดที่สำคัญสำหรับธุรกิจ มีสนามบินนานาชาติ Iquitos เชื่อมต่อกับ Lima, Pucallpa และ Tarapoto หรือภูมิภาคอื่นได้อีกด้วย

โดยกล่าวกันว่า เมือง Iquitos เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยทางถนน ถ้าจินตนาการถึงป่า แม่น้ำ และธรรมชาติริมแม่น้ำอะเมซอน ต้องนึกถึงเมืองนี้ โดยมีผืนป่าริมแม่น้ำอะเมซอนให้ผจญภัยหลากหลายแห่ง เช่น เขตสงวนแห่งชาติ Allpahuayo-Mishana มีสัตว์ป่าและพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และเขตสงวนแห่งชาติ Pacaya-Samiria เป็นเขตสงวนที่ใหญ่ที่สุดในเปรูและถือเป็นอัญมณีแห่งป่าเปรู

มีชุมชนประมาณ 200 กลุ่มหรือประมาณ 40,000 คนอาศัยอยู่ในเขตสงวนฯและยังมีมีพื้นที่คุ้มครองอื่น ๆ เช่น Tamshiyacu Tahuayo Regional Conservation Area, Ampiyacu Regional Conservation Area และMatsés National Reserve โดยที่จะแนะนำก็คือ ต้องเดินทางไปพร้อมกับ ไกด์ เท่านั้น เพราะต้องเป็นคนที่รู้และชำนาญพื้นที่ในป่าแถบนั้น เพราะอาจจะหลงป่าเอาง่ายๆ และอย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินป่าอีกด้วย

7. หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Valley)

หุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นหุบเขาเขียวชอุ่มและเป็นที่รู้จักกันในชื่อ El Valle Sagrado (หุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์) อยู่ห่างจากเมือง Cuzco ไปทางเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร  à¹‚ดยเคยเป็นชุมชนของชาวอินคา มีหลักฐานความเป็นอยู่ แลละดำรงชีวิตอยู่ที่นี่กันอย่างหนาแน่น ซากปรักหักพังของสถานที่ต่างๆกระจายตัวเป็นหลักฐานยืนยันปกคลุมไปทั่วหุบเขา เช่น ตลาด และหมู่บ้าน

โดยที่เป็นจุดเด่นของที่หมู่บ้านของชาวอินคากลุ่มนี้คือ ซากปรักหักพังของ Moray เป็นหนึ่งในสถานที่ปรักหักพังที่น่าสนใจและสวยงามที่สุดในเปรู ได้รับการออกแบบเหมือนอัฒจันทร์รูปวงกลมที่ขุดขึ้นมาเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันเป็นขั้นๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังแปลกใจกับวิธีการสร้าง และวัตถุประสงค์ของสถานที่นี้ เพราะไม่มีการบันทึกไว้เลย

คาดกันว่าเป็นการทำการทดลองปลูกข้าวของชาวอินคา โดยใช้ความสูงเป็นตัวกำหนดอุณหภูมิในการปลูกนั่นเอง และในเมืองใกล้ๆกัน คือเมือง Maras เมืองนี้มีความโดดเด่นและน่าสนใจคือ บึงระเหยเกลือ ซึ่งมีอ่างเกลือ เป็นลักษณะของขั้นบันได ซึ่งมีการใช้งานมาตั้งแต่ช่วงสมัยอินคา โดยเกลือที่ได้มาจากสายแร่ที่อยู่ใต้ดิน ไหลมาตามแม่น้ำ โดยผู้คนท้องถิ่นที่นี่จะมีบ่อไว้ดักเก็บน้ำที่ได้ และระเหยน้ำออก เพื่อจะเก็บผลผลิตเป็นเกลือ เพื่อส่งไปขายต่อไป

8. กุสโก (Cusco)

กุสโก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู อยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,400 เมตรรู้จักกันดีว่าเป็นประตูสู่ Machu Picchu ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางศาสนา มีพื้นที่ทางการเกษตร อยู่รอบตัวเมือง ซึ่งถูกกำหนดพื้นที่ และจัดระเบียบพื้นที่อย่างชัดเจน

และยังคงพบซากปรักหักพังของเมืองในสมัยอินคา ที่เมืองนี้ด้วย ถ้าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสายโบราณคดี หรือผู้ชื่นชอบงานทางศาสนา ผู้ชื่นชอบประเพณี การผจญภัย นักสะสมงานหัตถกรรมและนักดูนก รับรองว่า เมืองนี้จะทำให้หลงใหลได้ปลื้มอยู่ไม่น้อยทีเดียว

สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งคือภูเขาสายรุ้ง หรือที่เรียกว่า Vinicunca  à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸ˆà¸¸à¸”มุ่งหมายของนักเดินทางทั่วโลก ที่ต้องการเห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเปรู ด้วยความสูง 5,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

เทือกเขานี้อาจเป็นบททดสอบการปรับตัวในระดับความสูงของนักท่องเที่ยวทุกคน แต่ก็คุ้มค่าที่จะเห็นสีสันที่สวยงามแปลกตา ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้จิตกร และนักถ่ายภาพจากทั่วโลก เดินทางมาสัมผัสด้วยตา และเก็บความประทับใจเหล่านั้น  à¸­à¸­à¸à¸¡à¸²à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸œà¸¥à¸‡à¸²à¸™ ทั้งภาพวาด และภาพถ่าย

9. อาเรกีปา (Arequipa)

Arequipa ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟที่สวยงามแห่งหนึ่งในเปรู ซึ่งเป็นเมืองที่มีการบอกต่อๆกันว่า เป็นเมืองที่ต้องมาเลยทีเดียว อาคารที่มีชื่อว่า ” La Ciudad Blanca ” เป็นอาคารสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำจากวัสดุภูเขาไฟท้องถิ่น มีพลาซ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเปรูซึ่งเป็นจัตุรัสกลางของ Arequipa รับประกันความประทับใจที่ Plaza de Armas ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นปาล์ม

ล้อมรอบไปด้วยโบสถ์สไตล์โคโลเนียลที่สวยงามเป็นหัวใจของ Arequipa เลยที่เดียว และมีจุดชมวิวที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้เห็นว่าเหตุใดจึงเรียกได้ว่าเป็น “White City” โดยสามารถมองเห็นภูเขาไฟที่มียอดเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะอันยิ่งใหญ่และโดดเด่นสวยงามอีกด้วย นอกจากนี้ วิหารต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น

ล้วนมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์  à¹„ม่ว่าจะเป็น Arequipa Cathedral , Iglesia de la Compania,  the Monasterio de Santa Catalina และ Yanahuara

10. มาชูปิกชู (Machu Picchu)

มาชูปิกชูสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 เคยเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองของชาวอินคา (ในยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิอินคานั้น ได้แผ่แสนยานุภาพกว้างใหญ่ไพศาลเป็นระยะทางกว่าสี่พัน กิโลเมตรตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของอเมริกาใต้เลยนะ) มีสิ่งปลูกสร้างกว่า 200 ตำแหน่ง ใช้หินในการสร้างเมือง โดยโครงสร้างอาคาร ไม่พึ่งพาปูนที่ใช้เป็นตัวยึดหินเข้าด้วยกัน

เมืองและป้อมปราการของชุมชนชาวอินคาที่ มาชูปิกชู ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกและล้อมรอบไปด้วยพืชพันธุ์เขียวขจี บนภูเขาอันสูงชัน ที่ความสูงกว่าสองพันเมตร ด้วยสถานที่ที่งดงามและเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปนี้ ถ้าไปเปรู แล้วไม่ได้มาที่ มาชูปิกชู ถือว่า ไม่ได้มาเปรูเลยทีเดียว

แต่หินทุกก้อนที่มาชูปิกชูได้รับการตัดแต่งอย่างประณีตและแม่นยำจนเรียงซ้อนกันได้อย่างสนิท และอาคารต่างๆ ลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ โดยมีขั้นบันได เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงแต่ละที่เข้าด้วยกัน มีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงการวางผังเมืองที่เยี่ยมยอดของชาวอินคา

ทั้งระบบน้ำ ชลประทาน และการเกษตรกรรม ความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม มีสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนพิธี และยังมีสิ่งก่อสร้างที่เชื่อมโยงต่อเรื่องราวของดาราศาสตร์ด้วย แต่ด้วยการขยายอำนาจของสเปน ทำให้อาณาจักรอินคาล่มสลายลง และเมืองนี้ถูกทิ้งร้าง

กลายเป็นเมืองสาบสูญไปในช่วงศตวรรษที่ 16 แต่ในปี ค.ศ. 1911 Hiram Bingham ได้ค้นพบเมืองนี้ และได้กลับกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในฝันของนักเดินทางจากทั่วโลก และในบางครั้งการเดินทางมาชมที่นี่ อาจจะมีโอกาสได้เจอ อัลปาก้า เจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นอีกด้วย

รวมบทความท่องเที่ยวและถ่ายภาพที่น่าสนใจ

Exit mobile version