10 กล้อง Mirrorless สายเที่ยว ในยุคนี้กล้องไม่ได้เป็นอุปกรณ์สำหรับโปรช่างภาพอย่างเดียวละ กล้องกลายเป็นอุปกรณ์ที่เราใช้ในไลฟ์สไตล์ของใครหลายคนมากขึ้น หลัก ๆ ก็เพื่อถ่ายภาพท่องเที่ยว และเก็บบรรยากาศในครอบครัวเป็นหลักก็มี ซึ่งในบ้านเราตอนนี้การท่องเที่ยวดูเป็นกระแสที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากคอนเทนต์พวกรีวิวเที่ยว และตั๋วเครื่องบินที่สนับสนุนการเดินทางที่ถูกลงก็มีมากขึ้น กล้องในกลุ่มสายเที่ยวก็เลยมีบทบาทมากขึ้นนั่นเองครับ
10 กล้อง Mirrorless สายเที่ยว ในงานกล้อง 2018 ที่น่าจับตามองงาน ZoomCamera Fair 8
ทีนี้งาน ZoomCamera Fair ปี 2018 ครั้งที่ 8 ซึ่งกำลังจะมีขึ้นก็ได้มีรายการกล้องที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยวไปจัดโปรโมชั่นเหมือนกัน แต่ถ้าจะเอามาขายของอย่างเดียวคงไม่สนุก เรามาดู 10 รายการกล้อง Mirrorless สายเที่ยว เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับคนอยากจะซื้อกล้องใหม่ว่าควรเลือกตัวไหนมากกว่ากัน
1. Olympus OM-D E-M10 Mark III เน้นเที่ยวสนุก น้ำหนักเบา ภาพสวย กันสั่นดี เป็นกล้องที่ขายดีที่สุดของค่ายนี้เลย
ทำไมกล้องตัวนี้ถึงดีล่ะ? ถ้าหากว่าเราเป็นคนนึงที่ต้องการขอแค่ภาพสวย ไฟล์สวย ไม่ได้เอาไปแต่งต่อมากมายให้เสียเวลา และสิ่งสำคัญคือไม่อยากให้กล้องเป็นภาระในการเดินทางมากนัก กล้องตัวนี้จะเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างจะดีที่สุดเลย เพราะด้วยเรื่องของไฟล์ภาพเองผมเคยเอาไปทดสอบที่ญี่ปุ่นมา เรื่องรายละเอียดของไฟล์ทำได้ดีมากพอที่จะเอาภาพไปพิมพ์ขยาย ลงเฟซบุ๊ค และแต่งภาพสวย ๆ ได้สบายมาก
จุดเด่นอีกเรื่องคือน้ำหนักที่เบา เพราะด้วย Olympus OM-D E-M10 Mark III เป็นกล้องเซ็นเซอร์ Micro 4/3 ทำให้การออกแบบบอดี้ที่มีขนาดเล็กได้สบาย และสามารถออกแบบระบบกันสั่นที่ดีมาก ๆ ทำให้กล้องตัวนี้มอบความสุขในการเดินทาง (น้ำหนักเบา) และใช้งานได้สนุก ภาพสวย มีโหมด AP ที่มือใหม่ก็สามารถถ่ายภาพยาก ๆ ได้ เขาได้ออกแบบฟังก์ชั่นให้ถ่ายภาพแบบโปรได้เพียงแต่ใช้โหมดนี้เท่านั้น เดี๋ยวนี้ระบบซอฟต์แวร์ในกล้องก็ได้พัฒนาให้คนทั่วไปถ่ายภาพได้สวยแม้ว่าเราไม่เก่งเรื่องกล้องก็ตาม
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
2. Sony A5100 กล้องที่โซนี่ให้สเปคมาดีเกินไป เกิดมาหลายปีแล้วยังมีคนเอาไปเทียบกับรุ่นใหม่อยู่เลย
กล้องตัวนี้ขึ้นชื่อว่านกฟีนิกซ์เลยก็ว่าได้ จริง ๆ การออกแบบมันคือกล้อง Selfie แนวฟรุ้งฟริ้งด้วยซ้ำ แต่ว่ายุคนั้นโซนีอาจจะต้องการตีตลาดกล้อง Mirrorless มาก ๆ ก็เลยใส่ทุกอย่างที่ดีในกล้องตัวนี้มาแทบทั้งหมดจนมันดีเกินไป ในเรื่องของความละเอียดก็เท่ากับตัวท็อปกล้องยุคนี้เลย ระบบโฟกัสก็เร็วสไตล์ Sony แถมแม่นอีกต่างหาก ที่สำคัญเลยอย่าลืมว่ามันเป็นกล้องฟรุ้งฟริ้งตัวนึงด้วย
ถ้ามองแบบไม่สนใจว่า Sony A5100 เป็นกล้องรุ่นพี่ที่ออกมาหลายปีแล้ว กล้องตัวนี้สเปคมันยังเป็นตัวจบสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะมีโอกาสซื้อกล้องกันเลย แล้วได้คุณภาพดีมากด้วย ในงบราคานี้ก็เทียบชนรุ่นใหม่หลายตัวได้สบาย
ในด้านของการพกพาไปท่องเที่ยวแล้วก็ถ่ายภาพ กล้องตัวนี้จะค่อนข้างเหมาะเพราะจอมันพับเซลฟี่ได้ แล้วก็เป็นกล้องเซ็นเซอร์ APS-C ขนาดใหญ่เท่ากับกล้องกึ่งโปรหลายตัว ระบบโฟกัสก็เร็ว ถ่ายภาพ Portrait, Landscape ได้หายห่วง เอาเป็นว่าถ้าเราไม่ใช่คนที่แคร์เรื่องกล้องรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหลายปี กล้องตัวนี้เหมาะครับ โดยเฉพาะคนที่มีงบจำกัด
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
3. Sony A7 Mark II กล้อง Full Frame ที่เริ่มต้นง่าย ราคาขยับลงมาเยอะ เหมาะกับคนที่ใฝ่ฝันจะมีกล้อง Full Frame ในงบจำกัด และได้ของดี
ถ้ามองในยุคที่ Sony A7 Mark II ที่เพิ่งออกมา มันเป็นกล้อง Mirrorless Full Frame ที่หลายคนกรี๊ดมาก แทบจะเก็บเงินกันไม่อยู่ เพราะประสิทธิภาพและความสามารถมันดีจริง ๆ สำหรับ Mirrorless แต่ด้วยกระแสของรุ่นใหม่ Performance มากขึ้นอย่าง Sony A7 Mark III ก็เลยทำให้กล้องตัวนี้ถูกมองข้ามไป
ถ้ามาดูกล้องตัวนี้ตามโจทย์การใช้งานจริง ๆ คุณภาพไฟล์ของเซ็นเซอร์ Full Frame Sony ไม่ต้องพูดถึง มันดีสุด ๆ แล้ว ยิ่งช่วงราคาของ Sony A7 Mark II ในช่วงนี้แทบจะไม่มีกล้องตัวไหนทำคุณภาพไฟล์ได้เท่า ๆ ตัวนี้นะ นอกจากนี้ Sony A7 Mark II ก็ยังมีพวก Application ที่ติดตั้งได้ ซึ่งหลายคนยังชอบ (เพราะรุ่นใหม่เหมือนจะไม่ได้ทำแอพซัพพอร์ทแล้ว) แอพพลิเคชั่นพวกนี้จะให้ความสะดวกสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปแต่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการตั้งค่า พวกแอพนี้แหละจะมาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ให้ และ Sony ทำออกมาได้ดี เขาทำ Smartphone มาหลายปี ไม่ต้องห่วงนะว่าจะใช้งานยาก เขามีประสบการณ์ตรงนี้มา
คราวนี้กล้องตัวนี้เหมาะกับการเที่ยวแบบไหน ถ้าต้องการคุณภาพไฟล์ เนื้อไฟล์ที่ให้รายละเอียดดี เอามาแต่งภาพทำรีวิวนั่นนี่ จริง ๆ มันครบเครื่องนะ Full Frame ยังไงมันก็คือ Full Frame คุณภาพไฟล์ดีมากอยู่แล้วครับ แล้วก็ Dynamic Range ก็มากพอที่จะเอาไปทำอะไรได้อีกเยอะ ถ้าชอบแต่งภาพเยอะ ๆ ได้ไฟล์ภาพเนี๊ยบ ๆ ในราคาที่เริ่มต้นง่าย ตัวนี้เหมาะมากกับการเริ่มต้นที่จะเลือกกล้อง Full Frame Mirrorless สักตัว
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
4. Canon EOS M50 กล้องน้องใหม่ที่ทำการบ้านมาดี ตอบโจทย์ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ ไม่กั๊กสเปค จับถนัด ราคาไม่เกิน 25,000 แต่ได้ทุกอย่างมาแบบจบ ๆ และได้ Skin Tone สวย ๆ สไตล์ Canon เท่านั้นที่ทำได้
ถ้าเมื่อก่อนพูดถึงกล้อง Canon Mirrorless หลายคนอาจจะสนใจแต่คงยังไม่โดนใจมากนัก เพราะดูเหมือนยังขาดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ แต่กล้องตัวนี้ด้วยที่สถานการณ์ของตลาดกล้องมาทาง Mirrorless กันเยอะมากและทุกแบรนด์ทำออกมาได้ดีสุด ๆ คาดว่า Canon ก็คงไม่ปล่อยให้คนอื่นมาแย่งส่วนแบ่งในตลาด ดังนั้นเลยปล่อย Canon EOS M50 ออกมา ซึ่งตัวนี้เรียกได้ว่าไม่กั๊กเลย และเป็น Mirrorless ที่ดีไซน์ให้เข้าได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง อีกทั้งยังกระหน่ำอัดสเปคมาชนตัวท็อปหลายตัว แต่ช่วงราคายังอยู่ในระดับเบา ๆ เท่านั้น
เริ่มด้วยที่การออกแบบตัวบอดี้เน้นจับกระชับมือมาก ดูบาง แต่ใช้งานสะดวก ตำแหน่งวางปุ่มถูกออกแบบมาดี หน้าจอให้มาแบบพับได้ ถ่ายวีดีโอแบบ 4K มีช่องเสียบไมค์ สิ่งสำคัญคือ Skin Tone สไตล์ Canon นุ่มนวลทั้งการถ่ายภาพนิ่งและถ่ายวีดีโอ
มันเป็นกล้องตัวนึงถ้าเราชอบถ่ายทั้ง Portrait และเที่ยวไปด้วย สำหรับค่าย Canon คงต้องเป็นตัวนี้แหละ แล้วที่สำคัญเหมาะกับคนที่ชอบถ่าย Video Blog (Vlogging) ซึ่งตัวนี้ในงบและประสิทธิภาพมันลงตัวที่สุด และสิ่งสำคัญคือเซ็นเซอร์ APS-C น้ำหนักเบา วีดีโอ 4K มีสกินโทนสวย ๆ ต้องตัวนี้เท่านั้นแหละ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
5. Fujifilm X-T100 กล้องน้องใหม่สายเที่ยวในระดับเริ่มต้น ดีไซน์คลาสสิค แต่ดูหรู ในราคาน่ารัก
เอาแค่การโปรโมตกล้องตัวนี้ก็มีการวางแผนกันมาอย่างดีโดยให้เหล่านักร้องศิลปินโหด ๆ แล้ว เช่น ใช้ BNK 48 ในการโปรโมต Fujifilm XA-5 จนมาถึงรุ่นนี้เปิดตัว Fujifilm X-T100 กันเลย โดยใช้ศิลปินมาเป็น Vrand ambassdor อย่าง วี ไวโอเลต และ วงโปเตโต้ ทีนี้เรามามองดูกล้องตัวนี้กันว่ามันเหมาะที่จะเอาไปใช้ถ่ายรูปเที่ยวจริง ๆ หรือเปล่ากันนะ? เรื่องการออกแบบกล้องตัวนี้เรียกได้ว่า Friendly เป็นมิตรกับคนใช้สุด ๆ เพราะหน้าตามันดูคลาสสิคย้อนยุค ให้สีมาหลายสีมาก เพราะแต่ละคนสไตล์ไม่เหมือนกัน ถือว่า Fujifilm ทำการบ้านเรื่องดีไซน์มาดี
ในส่วนของการออกแบบบอดี้เพื่อใช้งาน ตัวหน้าจอมีการปรับพับหมุนได้ สำหรับถ่าย Selfie แล้วให้หน้าตาแบบกล้อง SLR มันก็เลยทำให้เป็นกล้องที่เข้าได้กับคาแรคเตอร์ของผู้ชายและผู้หญิงได้สบาย ตัวกริ๊บเองออกแบบมาเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะ จับถนัดมือ ขนาดเล็กเน้นการพกพา น้ำหนักเบา แล้วให้รายละเอียดไฟล์ภาพที่ดีเพราะใช้เซ็นเซอร์ APS-C
ถ้าใครเสพย์ความเป็นสกินโทนแล้วกลิ่นอารมณ์ฟิล์มนิด ๆ นุ่มนวล ๆ เลือก Fujifilm เท่านั้นเลย เพราะว่าสกินโทนสไตล์ Fujifilm นี่สุด ๆ แล้ว เพราะสีผิวมันนุ่มมาก ๆ แล้วก็ทำโทนสวย สามารถเอาไฟล์ภาพไปแต่งใน Lightroom Mobile แล้วอัพเฟซบุ๊คอวดได้สบายมาก
นอกจากนี้เรื่องของการพกไปเที่ยว ด้วยทุกอย่างที่ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบันเป็นหลัก ก็สรุปได้ว่าเป็นกล้องที่ให้คุณสมบัติมากลมกล่อมมาก ทั้งเนื้อไฟล์ของกล้อง ดีไซน์ที่คลาสสิคเข้าได้กับทุกคน มีให้เลือกเยอะ และใช้งานถ่ายภาพได้สนุก ตัวนี้เหมาะกับนักท่องเที่ยวสาวกฟูจิเลยแหละ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รีวิว Fujifilm X-T100
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
6. Sony A6500 กล้อง Flagship เลือดผสมระหว่างความเป็น Photography และ Video Blogger เข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวบนเซ็นเซอร์ APS-C เป็นกล้องที่มักถูกมองข้าม แต่ได้รับความนิยมในกลุ่มงานมืออาชีพ
ถ้าในระดับคนเล่นกล้องทั่วไปที่ไม่ได้ลงลึกอะไรมากมักจะมองข้าม Sony A6500 ไป อาจจะเพราะช่วงราคาในการเปิดตัวค่อนข้างหนักอยู่ แต่ปัจจุบันนี่สิ กล้องตัวนี้ลงมาในระดับที่งานโปรดักชั่นสายวีดีโอส่วนใหญ่ก็เลือกใช้ แล้วกล้องตัวนี้มันเป็นเรือธงของค่ายที่อยู่ในระดับ APS-C เลย
ถ้าพูดถึงเรื่องระบบโฟกัส ตัวนี้นี่สุด ๆ แล้ว มันโฟกัสเร็ว จุดโฟกัสหลายร้อยจุด ถ่ายได้รัวเป็นสิบ ๆ เฟรมต่อวินาที เป็นกล้องสายเลือด Sport ตัวนึงที่ Sony พยายามทำออกมาเพื่อให้มันทำงานได้แม่นยำที่สุด เร็วที่สุดเลย นอกจากนี้ทาง Sony เองก็ยังไม่ได้กั๊กในส่วน Video นะ เพราะให้มา 4K เลยในระดับโปรดักชั่นหลายคนก็เลือกใช้ เพราะด้วยราคาที่ค่อนข้างคุ้มและใช้งานได้หลากหลายมาก
สำหรับคนที่ชอบเที่ยว กล้องตัวนี้บอดี้น้ำหนักเบา เบามาก ๆ แล้วบอดี้ออกแบบมาไม่ได้หนาอะไรเลย เน้นพกง่าย ๆ แต่ Performance ท็อป ๆ เลย ถ้าต้องการทุกอย่างจบแบบครบเครื่องทั้งภาพนิ่งและวีดีโอในงบที่จำกัด แต่คาดหวังประสิทธิภาพสูง ไป A6500 เลย ที่สำคัญกล้องตัวนี้มีกันสั่นในตัวด้วย ลงแอพได้อีกต่างหาก
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
7. Olympus OM-D E-M1 Mark II กล้องตัวท็อปของค่ายสำหรับคนชอบลุย ถ่ายเร็ว ไฟล์ภาพสวย บอดี้ที่ทนที่สุดที่ทีมงานเคยทดสอบแบบโหด ๆ มา แล้วไม่พัง!
ถ้าพูดถึงกล้องที่ทีมงานชอบใช้มาก ๆ ก็คงไม่พ้น Olympus OM-D E-M1 Mark II เพราะอะไร เพราะว่าถ้ามอง Olympus ตั้งแต่ยุคกล้องแรก ๆ แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่ทำบอดี้ใหญ่มาก่อน เข้าใจการออกแบบบอดี้กล้องมาดีมาก จับถนัดมือ เข้ามือ ใช้งานรวดเร็ว ระบบกันสั่นดีที่สุด และมีบอดี้ที่ทนที่สุดด้วยเหมือนกัน
สำหรับคนที่ถ่ายภาพหลาย ๆ คนที่ต้องการเน้นความสุขในการเดินทาง ไม่ต้องละเมียดกกับการแบกอุปกรณ์หนัก ๆ และตั้งค่ากล้องที่วุ่นวาย Olympus จะเป็นกล้องโปรที่ทำได้ดีในตรงนั้น ข้อดีของเซ็นเซอร์ Micro 4/3 ที่หลายคนจะรู้สึก Negative หน่อย ๆ ที่เซ็นเซอร์เล็กจริง ๆ แล้วมันมีจุดเด่นของมันอยู่
อย่างแรกคือน้ำหนักเบา เพราะเซ็นเซอร์ 4/3 ขนาดไม่ใหญ่มาก และให้คุณภาพไฟล์ที่ดีเลย เมื่อเซ็นเซอร์ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ตัวเลนส์ก็เล็กลง มีน้ำหนักที่เบาลง ในการเดินทางทริปยาว ๆ ถ้าเรารู้ตัวว่าไม่ใช่สายแบกที่แท้ทรู ผมแนะนำว่าเซ็นเซอร์ Micro 4/3 จะได้ภาพที่คม ไฟล์สวย และไม่ปวดหลัง ปวดเอวแน่นอน ฮ่า ๆ
นอกจากนี้มันรัวภาพได้เกือบ 20 เฟรมต่อวินาที ขนาดว่านกจะบินแล้วยังเก็บได้ละเอียดยิบ มันมากพอที่จะถ่ายภาพกีฬา หรืออะไรต่าง ๆ นา ๆ ที่เราอยากจะเก็บ อันนี้คือจบ ๆ เลย แล้วระบบกันสั่นเขาทำได้สุด ๆ ที่ 6.5 Stops ทำให้พื้นที่แสงน้อย ๆ ที่หลายคนกลัว กล้องพวกนี้ไม่ต้องดัน ISO เลย แค่ลด Shutter Speed ลงก็ได้แสงเพิ่มขึ้นละ อีกทั้งเซ็นเซอร์ Micro 4/3 น้ำหนักไม่เยอะ ระบบกันสั่นก็เลยทำได้ดีมาก ๆ
สิ่งที่ต้องพูดถึงให้ได้คือเรื่อง Weather Sealed ของ Olympus OM-D E-M1 Mark II บ้าไปแล้ว ทำออกมาดีเกิน ดีขนาดว่าทีมงานคิดแผลง ๆ ไปทำรีวิวทดสอบเอากล้องมาแล้วเปิดน้ำฝักบัวแช่ไว้นาน ๆ แล้วก็เอาไปแช่แข็งในช่องฟรีซ กล้องไม่พัง ไม่เสีย ใช้งานได้ตามปกติ เป็นกล้องที่สำหรับคนสายลุยจะชอบมาก และน้ำหนักเบา
ในส่วนวีดีโอรองรับวีดีโอ 4K อีกต่างหาก ทำให้มันเป็นกล้องที่ถือถ่าย Hand Held ได้สบาย แล้วก็ตอบโจทย์ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ ถ้าใครชอบบอดี้ที่แน่นหนา น้ำหนักเบา ลุยได้แบบไม่แคร์โลก ก็ตัวนี้ครับ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
8. Panasonic Lumix GH5 ตัวท็อปของค่ายสำหรับคนเน้นถ่ายวีดีโอเที่ยว เอามาทำรีวิว ทำโทนสี อึด ถึก ทน
สำหรับคนที่คาดหวังงานที่ใช้เป็นการเป็นงานแล้ว และมาทางด้านวีดีโอที่เก็บรายละเอียดได้เยอะ ๆ ถ่าย Footage ได้คล่องตัวโดยที่ไม่ต้องมี Gimbal ให้วุ่นวาย คงต้องเป็น Panasonic Lumix GH5 ตัวนี้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก GH5 มากนักขอเล่าก่อนครับ กล้องตัวนี้จริง ๆ แล้วมันถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอเก่งทั้งคู่นะ และ Panasonic เองถ้าดูย้อนกลับไปในยุคของกล้องเขา เขาเก่งเรื่องงานวีดีโอมาตลอด เลยทำให้กล้องของเขายุคปัจจุบันงานวีดีโอก็เก่งตามไปด้วย
ในทริปเที่ยวสำหรับ Vlogger ที่ชอบถ่ายวีดีโอมาคลิปมาทำรีวิวเที่ยว การ Grading สีสำคัญมาก จะทำโทนอะไรก็ตามไฟล์ต้นฉบับยิ่งดีมากเท่าไหร่ การทำโทนก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่ง Panasonic Lumix GH5 จะรองรับสีแบบ 4:2:2 10-bit และให้ไฟล์ขนาด 4K ละเอียดมากมาด้วย แล้วกล้องตัวนี้ถูกนำไปใช้งานในระดับภาพยนตร์อีกต่างหาก มันก็เลยทำให้กล้องตัวนี้โดดเด่นสุด ๆ ในสายวีดีโอนั่นเอง
นอกจากนี้ระบบกันสั่นของ Panasonic Lumix GH5 ยังทำได้ดีมาก กรณีที่เราต้องการถ่าย Footage แบบรวดเร็ว และหลายสถานที่ไม่มีเวลามานั่งเตรียมของเยอะแยะ GH5 จะเป็นกล้องที่บอดี้เดียวแต่ลุยได้ทุกอย่างตั้งแต่วีดีโอและภาพนิ่ง โดยที่ไม่ง้อตัวกันสั่นอย่างไม้ Gimbal ก็ทำได้ เพราะเซ็นเซอร์ของเขามีน้ำหนักเบา พร้อมจะลุยหนัก ๆ ได้สบาย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
9. Panasonic Lumix G9 สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปเที่ยวมากกว่างานวีดีโอ น้ำหนักเบา และงานวีดีโอใกล้เคียงกับ GH5
กล้อง Panasonic Lumix G9 ตัวนี้ออกมาเป็นเหมือนกลับ GH5 ฝั่ง Photo เลย เพราะตัวนี้เน้นเรื่องของการถ่ายภาพเป็นหลัก ไฟล์ภาพดีจะขึ้น ISO สูง ๆ ก็ทำรายละเอียดได้ดีขึ้น ISO3200-6400 ใช้ได้ดีเลยแหละ มีระบบกันสั่นแบบ 5 แกนและ Panasonic กล้าเคลมเลยว่า 6.5 Stops ทีมงานเคยใช้เลนส์ 25mm ถ่ายด้วยมือเปล่า ๆ ถือเนี่ย ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 4 วินาที ยังถ่ายได้ นอกจากนี้การถ่ายภาพต่อเนื่อง Buffer มีขนาดใหญ่ ถ่ายรัวได้นานมาก RAW กดต่อเนื่องประมาณ 60 ภาพกว่า Buffer จะเต็ม การถ่ายรัวถ้าเป็นชัตเตอร์กลไกก็ 12 ภาพต่อวินาที แต่ถ้าเป็น Electronic Shutter โน่นเลย 60 ภาพต่อวินาที
ในด้านวีดีโอก็ถ่าย 4K ได้นะ แค่ไม่มีสีแบบ 4:2:2 10-bit เท่านั้นเอง สำหรับใครที่ถ่ายวีดีโอทั่วไป กล้อง Panasonic Lumix G9 ก็ตอบโจทย์โอเคมาก ๆ โดยเฉพาะระบบกันสั่นนั่นแหละ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8
10. Fujifilm X-H1 ตัวท็อปของ Fujifilm ที่มาทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ สำหรับสาวกฟูจิสายลุย
ทำไมถึงยกตัวนี้มาล่ะ? ที่ผ่านมา Fujifilm ได้ทำกล้องออกมาไปในทางสาย Photography เป็นหลัก และโดดเด่นเรื่องโทนกันอยู่ละ แต่ก็มีบางคนที่ชอบฟูจิแต่ Position ไปทางวีดีโอ + ภาพนิ่ง ซึ่งกล้อง Fujifilm X-H1 ตัวนี้ได้ถูกออกแบบให้มีบอดี้ใหญ่คล้ายกับ Medium Format อย่าง GFX เลย ใช้งานง่ายไม่เท่าไหร่ มีระบบกันสั่นมาด้วย ซึ่งทำได้ดีมาก ๆ เหมือนค่ายอื่นเลย ก็เลยทำให้กล้องตัวนี้โดดเด่นขึ้นมาพอสมควร
ประเด็นคือกล้องตัวนี้ถ้ามองเรื่องสเปคเทียบกับแบรนด์อื่น ความสามารถมันก็จะใกล้เคียงกันนะ แต่ถ้ามองด้านความชอบของแต่ละคน ผมว่ากล้องตัวนี้ดีตรงที่เซ็นเซอร์เป็น APS-C ของ Fujifilm แล้วก็ยังมีระบบกันสั่นมา ใครที่ชอบโทนสีของ Fujifilm แน่นอนแหละ จะสนุกมากขึ้นเพราะกล้องมันทำอะไรได้มากกว่า และด้วย Segment ของกล้องตัวนี้ออกแบบมาให้อยู่ในระดับโปร เลยทำให้กล้องตัวนี้มีบอดี้ที่ต้องใหญ่หน่อย ตอบโจทย์งานอาชีพได้
ถ้าใครชอบงานภาพนิ่งและวีดีโอ แล้วเป็นเนื้อไฟล์โทนของ Fujiflm เอง ยังไงก็คงต้องเป็น X-H1 เพราะมันตอบโจทย์คนเฉพาะกลุ่มที่ชอบกล้องโปรของ Fujifilm ค่อนข้างเยอะ ในด้านภาพนิ่งก็ทำได้ดีมาตั้งแต่ Fujifilm X-T2 อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเลย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– คู่มือการเลือกกล้อง Mirrorless ปี 2018
– รวมโปรโมชั่นงานกล้อง 2018 ที่ ZoomCamera Fair 8