Site icon เว็บสอนถ่ายภาพ สอนถ่ายวิดีโอ และผลิตคอนเทนต์ ที่เข้าใจมือใหม่มากที่สุด

12 เมืองเที่ยวยุโรป ไปเอง เที่ยวเอง ด้วยตั๋ว Eurail Benelux Pass

12 เมืองเที่ยวยุโรป

12 เมืองเที่ยวยุโรป ไปเอง เที่ยวเอง ด้วยตั๋ว Eurail Benelux Pass

เป็นอีกทางเลือกของคนที่ชอบเดินทาง โดยสามารถเดินทางเที่ยว 3 ประเทศ คือ Belgium, Netherland, Luxembourg เป็นหลักทั้งยังเพิ่มประเทศสำหรับการท่องเที่ยวได้อีก เช่น Czech Republic, France, Germany, Finland, Italy, Switzerland และ Spain

ในบางครั้งการเดินทางกับกลุ่มทัวร์ก็เป็นทางเลือกที่สะดวกสะบายไม่น้อย ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทาง ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องวางแผนการเดินทางอย่างรัดกุม แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกหลายคน ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว การเดินท่องเที่ยวโดยไม่จำกัดเวลา หรือสถานที่

12 เมืองเที่ยวยุโรป

การเดินทางที่ค่อนข้างจะเป็นอิสระในความคิด ไม่ต้องรอใคร หรือเดินตามใคร จะแวะที่ไหน อยากใช้เวลาเท่าไหร่ก็ได้ ในการเดินทางในประเทศแถบยุโรปโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นอีกทางที่สามารถเดินทางไปไหนๆ ได้ง่าย และสะดวกมากขึ้น

มีตั๋วเดินทางที่สามารถขึ้นจะลงกี่ครั้งก็ได้ โดยไม่จำกัด ภายในระยะเวลา 3-8 วัน แล้วแต่แผนการเดินทางของเราเอง การเดินทางเองแบบนี้อาจจะหลงทางไปบ้าง แต่เราก็จะได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ มีเรื่องเล่า และในการหลงบางครั้ง เราก็อาจจะเจอ Hidden gems ของสถานที่นั้นโดยไม่รู้ตัว

12 เมืองเที่ยวยุโรป

โดยเส้นทางที่จะแนะนำนั้น จะเริ่มจากประเทศ ลักเซมเบิร์ก ไปเบลเยี่ยมและเมืองต่าง ๆ ของเบลเยี่ยม และปิดท้ายที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ดินแดนแห่งรองเท้าไม้และดอกทิวลิป

12 เมืองเที่ยวยุโรป ไปเอง เที่ยวเอง ด้วยตั๋ว Eurail Benelux Pass

ประเทศ Luxembourg

ประเทศลักเซมเบิร์กมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติอีกประเทศหนึ่งของยุโรป เมืองลักเซมเบิร์กมีภูมิประเทศที่มีหุบเขา ทุ่งหญ้า ที่เขียวขจีแม่น้ำและลำธาร สะพานที่งดงามมากมาย สถาปัตยกรรมเป็นแบบผสมผสานระหว่างระหว่างยุคคลาสสิกและร่วมสมัย

ป้อมปราการของเมืองลักเซมเบิร์กได้รับการยกย่องจาก UNESCO ว่าเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537 เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่อัดแน่นไปด้วยความน่าสนใจ สามารถเที่ยวชมเมืองได้ในระยะเวลาเพียง หนึ่งหรือสองชั่วโมง อาจะเลือกเดินเท้า หรือจะปั่นจักรยานก็ได้

1. Luxembourg city

เมืองเก่าของเมืองลักเซมเบิร์กมีสถานะเป็นมรดกโลกที่มีเสน่ห์ มีปราสาทอันสวยงามมากมาย ประเทศนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ นั่งรถชมเมือง ดูสถาปัตยกรรม วิถีชีวิตของชาวเมือง นั่งจิบกาแฟตามร้านกาแฟเล็กๆข้างทาง หรือจะนั่งออกนอกเมือง ไปปั่นจักรยานในเขตภูเขา หรือเยี่ยมชมไร่องุ่นก็แล้วแต่ ว่าจะเลือกการเที่ยวแบบไหนให้เหมาะกับความสนใจของตัวเอง

ประเทศ Belgium

เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างมากมาย ทั้งได้รับอิทธิพลด้านภาษา อาหาร จากฝรั่งเศส เยอรมัน รวมทั้ง วัฒนธรรมต่างๆ จากแถบประเทศเมดิเตอเรเนียน เนื่องจากเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่ขออาศัยลี้ภัย เบลเยี่ยมมีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรม แบบชาวดัชต์

บ้านเรือนแบบดั้งเดิม ก็มีให้เห็นทั่วไป เมืองแต่ละเมืองมีความสวยงาม น่ารัก และมีเอกลักษณ์ของเมือง ส่วนอาหารที่โดดเด่นมากๆ คือ ช็อกโกแล็ตหวานหอม วาฟเฟิลแสนอร่อย และ หอยแมลงภู่รสชาติดี    

นอกจากนี้ที่เบลเยี่ยมเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่ผสมผสานกับเมืองแห่งเทคโนโลยี มีพิพิธภัณฑ์ทั้งศิลปะศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ให้เลือกดู และเลือกชม ตามความสนใจ

2. Liège

ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Meuse เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของ Wallonia คือชาวเบลเยียมที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมมานานแล้ว มี พิพิธภัณฑ์และสถานที่ทางโบราณคดีให้ศึกษาด้านวัฒนธรรม เป็นเมืองที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิม และแบบใหม่

การออกแบบสถานที่แบบยุดสมัยใหม่ ก็มีให้เห็น เช่นที่ Liège-Guillemins railway station มีการออกแบบโครงสร้างที่สวยงาม เป็นสถานีหลักของเมือง Liège ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศเบลเยี่ยม ผู้คนหมุนเวียนมาใช้สถานีนี้หลายพันคนต่อวัน และถ้าหาชอบถ่ายรูป มุมนี้ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ต้องมาหามุมสวยๆ ถ่ายรูปเลยล่ะ

3. Brussels

กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม ด้วยความเป็นเมืองหลวงนี่เอง เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยว เข้ามาอย่างมากมายต่อปี รวมถึงเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปอีก ส่วนในตัวเมืองก็มีหลายจุดที่สามารถแวะพัก และเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญๆหลายที่เช่น จัตุรัสกรองด์ ปลาซ (Grand Place)

ความสวยงามและเก่าแก่ของจัตุรัสแห่งนี้ ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกด้วย  à¸¢à¸´à¹ˆà¸‡à¸–้ามาถึงในช่วงงานดอกไม้ ประมาณเดือนสิงหาคม หล่ะก็ ที่นี่จะถูกตกแต่งด้วยดอกไม้เต็มพื้นที่ เหมือนทั้งจัตุรัส ถูกปูพรมด้วยดอกไม่นานาพันธุ์เลยล่ะ

นอกจากนี้ก็ยังมี  Atomium ได้รับการออกแบบโดย André Waterkeyn วิศวกรชาวเบลเยี่ยม เป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงอะตอมขนาดยักษ์ ประกอบไปด้วยวัตถุทรงกลมจำนวน 9 ลูก แต่ละลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 18 เมตร ถูกเชื่อมต่อด้วยท่อขนาดใหญ่ ภายในท่อเป็นลิฟท์และบันได มีร้านอาหารอยู่บนส่วนลูกกลมๆ ข้างบนด้วยหล่ะ เผื่อใครอยากนั่งชมวิวไป ทานอาหารไปด้วย หรูเลยว่ามั๊ย

และที่ไม่พูดถึง ไม่ได้เลยคือ รูปปั้นแมเนเกนพิส (Manneken Pis) หรือรูปปั้นเด็กน้อยยืนฉี่ ว่ากันว่าเป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของหนูน้อย Petit Julien (รูปปั้นมีขนาดความสูงเพียง 61 เซนติเมตร) ที่ปกป้องเมืองบรัสเซลส์จากชนวนระเบิดที่กำลังลุกไหม้ ด้วยการฉี่เพื่อดับไฟ ทำให้เมืองนี้รอดพ้นจากการถูกระเบิดมาได้อย่างหวุดหวิดเลย (กล้ามากนะ ที่ไปยืนฉี่แบบนั้นน่ะ)

4. Antwerp

เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและเป็นการผสมผสานด้านสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรม สามารถใช้เวลาเดินเล่นทั้งเมืองได้ โดยไม่ต้องใช้เวลามาก โดยมีจัตุรัสกลางเมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

โดยชื่อ “แอนต์เวิร์ป” เพี้ยนมาจากคำว่า “อันต์แวร์เปิน” (Antwerpen) ที่มาจากคำว่า “Hand Werpen” ซึ่งแปลว่า “โยนมือลงแม่น้ำ” มีเรื่องเล่าว่ายักษ์ตนหนึ่งชื่อ ดรูโอน อันติโกน (Druon Antigoon) คอยเก็บส่วยหรือค่าผ่านทางจากนักเดินเรือที่ใช้เส้นทางสัญจรผ่านแม่น้ำสเกลท์ ถ้าไม่จ่ายจะถูกจับตัดมือและโยนมือทิ้งแม่น้ำ

ต่อมาทหารโรมัน ชื่อ ซิลวิอุส บราโบ (Silvius Brabo) วางแผนฆ่ายักษ์และตัดมือของยักษ์ทิ้งลงในแม่น้ำ เหมือนกับที่เคยทำกับผู้อื่น ในปัจจุบันสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับปรัมปราเรื่องนี้ยังปรากฏให้เห็นอยู่ทั้งช็อกโกแลตรูปมือ และประติมากรรม โดยที่กลางจัตุรัสของเมือง ก็จะมีน้ำพุ ที่เล่าเรื่องราวของเหตุการณ์นี้ อยู่กลางเมืองนั่นเอง

5. Ghent

เกนต์เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับสองของประเทศเบลเยียมเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรม และถึงแม้จะเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเบลเยี่ยม แต่เกนต์เป็นเมืองเล็กๆ ที่เมื่อไปเยือนเมื่อไหร่ก็รู้สึกอบอุ่น มีสถาปัตยกรรมยุคกลางและยุคคลาสสิกให้เห็นโดยทั่วไป

นอกจากนี้ ยังมีปราสาท และโบสถ์เก่าแก่ ให้ไปเยี่ยมชมได้อีกหลายที่ เช่น Gravensteen, The Saint Bavo Cathedral, Belfry of Ghent, Saint Nicholas’ Church และการล่องเรือชมเมือง และชิมอาหารท้องถิ่น ก็เป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้ด้วยล่ะ และอยากบอกว่า วิวกลางคืนของเมืองนี้ สวยและมีมนต์เสน่ห์มากเลย

6. Bruges

เมือง Bruges อยู่ตะวันตกเฉียงเหนือของเบลเยี่ยม โดดเด่นด้วยคลองหลายสายที่ไหลผ่านตัวเมือง จนถูกเรียกว่าเป็น “เวนิซเหนือ”  à¹à¸¥à¸°à¸–นนของบรูคใช้การวางก้อนกรวดแบบดั้งเดิม และมีสถาปัตยกรรมยุคกลางให้ได้ชื่นชมความงาม และโบสถ์สไตล์โกธิค ทำให้เมืองนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก

มีท่าเรือ Zeebrugge เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับการจับปลาและการค้าในยุโรป สามารถขึ้นไปชมวิวของเมืองบรูชจากมุมสูงได้ที่จัตุรัส ใจกลางเมือง บรูคเป็นเมืองที่เรียบง่าย และดูสะอาดตา เนื่องจากทั้งเมืองมีคลองหลายสาย ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมไปล่องเรือเที่ยวชมเมืองกัน นักท่องเที่ยวสายชิล รับรองมาเมืองนี้แล้ว ต้องอยากกลับมาเที่ยวที่นี่อีกแน่

7. Ostend

เป็นเมืองที่อยู่บนชายฝั่งของประเทศเบลเยี่ยม เป็นที่รู้จักสำหรับชายหาดที่ยาวและเดินเล่นบริเวณท่าเรือที่จอดอยู่ในท่าจอดเรือ และมีเรือบรรทุกขนาดใหญ่ชื่อ Mercator ทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ มีโบสถ์สไตล์นีโอโกธิคของเซนต์ปีเตอร์และเซนต์พอลมียอดหอระฆังและหน้าต่างกระจกสีอันโดดเด่น ใกล้ท่าเรือป้อมปราการนโปเลียน (Fort Napoleon) เป็นป้อมปราการ 5 ด้านที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2354

รวมบทความเกี่ยวกับการเลือกใช้มุมมองที่หลากหลายในการถ่ายภาพสำหรับมือใหม่

ประเทศ Netherlands

บางคนอาจจะเรียกว่า Holland ก็ได้ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อของ ประเทศทุ่งดอกทิวลิปและกังหันลม และเส้นทางการขี่จักรยาน รองเท้าไม้ มีเมืองหลวงคืออัมสเตอร์ดัม มีรอตเทอร์ดามเป็นเมืองท่าสำคัญที่มีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่น่าสนใจ

เช่นที่ Utrecht เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักมีชีวิตชีวาและหอคอย Dom Tower ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 สวน Keukenhof เป็นสวยที่มีดอกไม้บานสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ Anne Frank House และ Van Gogh Museum เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอัตชีวประวัติของผู้ที่มีชื่อเสียง สถานที่สำคัญ และมีหลายมุม และหลายเมืองที่มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ อ่อๆ อย่าลืมชิมปลาแฮริ่ง นะ เดี๋ยวจะมาไม่ถึง

8. Rotterdam

เมืองนี้เป็นที่รู้จักสำหรับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มีบ้าน Cube House Rotterdam (Kijk-Kubus) สีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ออกแบบโดยสถาปนิค ชาวดัชต์ ชื่อ Piet Blom  à¹‚ดยเมือง Rotterdam ถูกทำลายในช่วงสงคราม และเมืองถูกสร้างใหม่โดยไม่ทิ้งรูปแบบเก่าไปอย่างสิ้นเชิง จึงมีสถาปัตยกรรม และตึกรูปทรงแปลกตาอยู่มากมาย

9. The hague

กรุงเฮกเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งทะเลทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของรัฐสภาดัตช์ Binnehof รัฐสภาเก่าแก่ที่สุดของโลก และกลางลานกว้างของรัฐสภา แห่งนี้เคยเป็นแดนประหารนักโทษด้วยหล่ะ และพระราชวัง Noordeinde

ซึ่งในศตวรรษที่ 16 เป็นที่ทำงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมืองนี้เป็นที่ตั้งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของสหประชาชาติโดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Peace Palace และศาลอาญาระหว่างประเทศ ลองเดินชมเมือง พร้อมกับอ่านข้อมูลของสถานที่ต่างๆแล้ว จะสามารถรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงได้อย่างลึกซึ้งเลยล่ะ

10. Utrecht

เป็นเมืองที่มีคลองไหลผ่านทั้งเมือง มีความเรียบง่ายและสวยงาม มีสถาปัตยกรรมสมัยยุคกลางให้เห็น ใจกลางเมืองมี ที่สามารถเดินขึ้นไปชมเมืองมุมสูง เห็นเมืองทั้งเมืองเลยแค่ต้องเดินขึ้นบันได สี่ร้อยกว่าขั้นเท่านั้นแหละ

และมีปราสาทเก่าแก่ Castle De Haar เป็นที่พำนักส่วนตัวของครอบครัว Van Zuylen หลังจากการเสียชีวิตในปี พ. ศ. 2554 ของทายาทชายคนล่าสุด Thierry van Zuylen ลูกสาวของเขาได้ขายให้กับเจ้าของคนใหม่ด้วยผลงานศิลปะและการตกแต่งภายในของปราสาท สวนรอบ ๆ ปราสาท De Haar ครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่า 130 เอเคอร์มี มีสวนกุหลาบอันแสนโรแมนติก โดยแต่ละฤดูสวนจะมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง ซึ่งมันน่าสนใจและน่าหลงไหลมากเลยหล่ะ

11. Haarlem

ฮาร์เล็มตั้งอยู่ระหว่างอัมสเตอร์ดัมและทะเลเหนือ เมืองนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยเป็นสถานที่พำนักของท่านเค้าท์แห่งฮอลแลนด์ในศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ทำให้เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองในเขตดัตช์ ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีจิตรกรหลายคนที่มีชื่อเสียงในช่วงนั้น เช่น Frans Hals, Jacob van Ruisdael, Philips Wouwerman และ Adriaen van Ostade ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์

มีจุดให้แวะชมหลายแห่ง เช่น The Grote Kerk: St.-Bavokerk เป็นอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่สวยงาม  à¸ªà¹ˆà¸§à¸™ The Frans Hals Museum เป็นสถานที่โชว์งานศิลปะจากกลุ่มศิลปินหลายท่าน ซึ่งใครสายอาร์ต ชอบงานศิลป์ต้องไม่พลาดที่นี่เด็ดขาด นอกจากนี้ก็ยังมีโบสถ์ที่สวยงามให้เดินชม และถ่ายภาพ

และที่พลาดไม่ได้ เมื่อมาเยือนที่นี่คือ De Adriaan Windmill ซึ่งเป็นลัญลักษณ์ของเมืองนี้ เป็นกังหันลม ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Spaarne ซึ่งที่นี่สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงงานและประวัติศาสตร์ของ Haarlem ได้ รวมถึงวิธีการของกงหันลมทำงาน และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงามด้วยหล่ะนะ ใครที่ชอบแนวประวัติศาสตร์ ก็ไปชมที่ Anne Frank House

12. Amsterdam

เมืองอัมสเตอร์ดัม คือ เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ เป็นเมืองเล็กๆ แต่มีชื่อเสียงอันดับโลก มีคลองหลายสายไหลผ่านในหลายแห่ง อาคารต่างๆถูกออกแบบให้อยู่ร่วมกับระบบคลองที่ซับซ้อน มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์งานศิลปะของจิตรกรชื่อดังอันดับโลก และเมืองนี้ได้รับขึ้นเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้อีกด้วย  

ผู้คนในเมืองนี้ใช้จักรยานเป็นหลักจึงมีเส้นทางจักรยานมากมาย ว่ากันว่าเป็นสวรรค์ของนักปั่นเลยล่ะ นักปั่นที่นี่ทั้งปล่อยมือปั่น อ่านหนังสือปั่น ก็มีให้เห็นทั่วได้ไป ความสามารถสูงมาก และขอบอกว่า “Coffee shops” ที่อัมสเตอร์ดัม ไม่ได้ขายกาแฟนะ

จากที่เล่ามา จะเห็นว่าตั๋ว Eurail Benelux Pass พาเราไปได้หลายเมือง โดยอาศัยการขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย ลองวางแผนการเดินทางดู ว่าจะไปเมืองไหน สถานที่ใดบ้าง และใช้เวลาโดยรวมเท่าไหร่ ซึ่งรับรองว่า ซื้อ Eurail Benelux Pass รับรอง เที่ยวคุ้มแน่ๆ

รวมบทความท่องเที่ยวและถ่ายภาพที่น่าสนใจ

Exit mobile version